เทศน์พระ

พระดี

๗ มิ.ย. ๒๕๕๒

 

พระดี
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต. หนองกวาง อ. โพธาราม จ. ราชบุรี

 

เราเกิดมาในโลก เราอยู่กับโลกนะ เราเกิดมาในโลกเราปฏิเสธโลกไม่ได้ แต่เราเห็นโลกมันกลืนกินสัตว์โลกไป เราเกิดมาในโลกเราถึงจะออกจากโลกเห็นไหม เวลาเราพูดเมื่อกี้ เวลาเขาบอกว่า “ธรรมะเป็นธรรมดา” ธรรมดาเห็นไหม การเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย ก็ต้องเป็นธรรมดา

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเที่ยวสวนตั้งแต่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เห็นยมทูตมาแสดงตนให้ดู เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันต้องมีตรงข้าม มันต้องมีไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่ใช่เห็นเกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วเป็นธรรมดา มันก็เป็นธรรมดาเห็นไหม

เราอยู่กับโลก เรามาจากโลก เราเกิดมาจากพ่อจากแม่ พ่อแม่นะเป็นโลก กามคุณ ๕ แต่เพราะกามนั้นเราเอามาทำคุณประโยชน์ ถ้ากามคุณ ๕ สืบต่อกับทางโลกไป มันก็เป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นเรื่องของโลกไป แต่ถ้าเป็นเรื่องของธรรมเห็นไหม เราเกิดมาจากโลก เกิดมาจากกาม เกิดจากพ่อจากแม่ แล้วเราก็มาเกิดจากอุปัชฌาย์อาจารย์ แล้วเราก็ประพฤติปฏิบัติกันนี้ให้เกิดในธรรม

ถ้าใจเป็นธรรมนะ พระที่ดี พระที่ประเสริฐ ทุกโลกเขาต้องการ เขาแสวงหา ดูทางวัตถุนะ พระประธานถ้าเป็นพระอิฐพระปูน พระที่ดี พระพุทธรูปเป็นสิ่งที่ดี แต่มันก็ยังชื้น แต่มันก็ยังชำรุด มันต้องซ่อมบำรุงรักษา แม้แต่เป็นทองเหลือง แม้แต่เป็นสำริดเห็นไหม เขาก็ต้องดูแลรักษา

เพราะฉะนั้นพระที่จะเป็นโลก จะดีขนาดไหนก็ต้องบำรุงรักษา แต่พระที่ดี พระในหัวใจ ถ้าเป็นพระอริยบุคคลเห็นไหม โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ไม่มีการซ่อมบำรุง ถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้วจิตนี้พ้นจากทุกข์ไปโดยธรรมชาติของมัน คือสัจจะความจริง แต่ไม่ใช่เป็นธรรมที่มันจะเป็นไปโดยธรรมชาติ มันเป็นโดยการกระทำนะ

เราถึงต้องแสวงหา เราถึงต้องฝืนกับแรงดึงดูดของโลก เวลาเขาส่งจรวดไปในอวกาศ เขาต้องพ้นออกจากวงโคจรของโลก นี่ก็เหมือนกัน เราประพฤติปฏิบัติเพื่อพ้นจากแรงดึงดูดของกิเลสไง โลกคือโลกทัศน์ โลกคือหมู่สัตว์ โลกเขาเรียกเป็นสัตว์โลก แต่ในธรรมะโลกคือภพ โลกคือโลกทัศน์ โลกคือสิ่งปฏิสนธิจิต เพราะมีเราถึงมีโลก

เราจะเกิดหรือไม่เกิดมันเป็นสภาวะแบบนี้นะ ถ้าเราไปเกิดบนกามภพ รูปภพ อรูปภพเห็นไหม กามภพตั้งแต่เทวดาลงมา รูปภพ อรูปภพคือเกิดเป็นพรหม โลกก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว นี่เป็นโลกทางวัตถุ

ถ้าโลกทางธรรมะ โลกเห็นไหม สัตตะผู้ข้อง โลกคือหัวใจของเรา พระที่ดี สิ่งที่ดี กตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี คนดีนะเขารู้จักคุณคน รู้จักที่สูงที่ต่ำ เขารู้ไปหมด เพราะสิ่งนั้นเป็นเครื่องหมายของคนดี

พระดี พระพุทธรูปดี ยังต้องรักษา ต้องทำความสะอาด หัวใจที่ดีเราต้องทำให้สิ่งที่ดีๆ เกิดขึ้นมากับเรา อาศัยความดีนะ เวลาประพฤติปฏิบัติเห็นไหม ข้ามพ้นทั้งดีและชั่ว สิ่งที่เป็นคุณงามความดีติดนะ คนเราติดชั่ว คนชั่วมันมีสิ่งตรงข้ามคือความดี เห็นได้ว่าชั่วเป็นอย่างหนึ่ง ดีเป็นอย่างหนึ่ง

แต่คนถ้าเป็นคนดี ติดในดีเห็นไหม ติดดี ถ้าความดีนั้นเป็นความดีไหม? เป็น ความดีเป็นความดี แต่ความดีในการประพฤติปฏิบัติมันต้องข้ามพ้นทั้งความดี เพราะความดีที่เรายึดแล้วเห็นไหม

บันไดขั้นที่ ๑ เราจะก้าวเข้าบ้านเรา บันไดเรามี ๗ – ๘ ขั้น พอก้าวขึ้นบันไดขั้นที่ ๑ แล้ว เราจะไม่ก้าวขึ้นบันไดขั้นที่ ๒ ขั้นที่ ๓ เราจะขึ้นถึงบ้านเราได้อย่างไร ความดีที่ดีกว่านี้ ความดีที่ว่าเป็นความดี ความดีของโลกคือสิ่งที่เป็นวัตถุ ความดีของเราเห็นไหม ผู้ที่บริหารจัดการ ผู้ที่เป็นผู้อำนวยการองค์กร ความดีของเขานะ เขานั่งดูเฉยๆ แต่คนที่บริหารจัดการอยู่ข้างล่าง คนที่ทำงานอยู่ข้างล่าง นี่ความดี ดีคือเขาไม่ต้องทำไง เขาดีโดยหัวใจของเขาไง เขาดีด้วยความดีในหัวใจของเขา

นี่ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติ ความดีมันดีหยาบๆ แต่ถ้าไม่มีดีเลย มันจะเอาดีอะไรมาเป็นเครื่องวัดว่าอะไรดีและอะไรไม่ดี ความดีของโลกเขา ความดีของเราเห็นไหม เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา นี่คือความดีของเรา ถ้าความดีของเรา ดีใน ดีนอก ถ้าดีนอกเป็นวัตถุที่จับต้องได้ ดีในของเราสิ เวลาเรานั่งสมาธิภาวนา ถ้าจิตเราสงบขึ้นมา ใครจะรู้อะไรกับเรา แต่เทวดารู้นะ

เทวดานะ เวลาจิตของพระที่อยู่ในป่าในเขา เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเป็นเครือญาติ เป็นสายบุญสายกรรมกันนะ เวลาเสือเทพ เสืออะไรมันจะตัวใหญ่โตขนาดนั้น เวลาเสือปกติเสือเขาก็มานะ เขามาส่งเสริมกันเห็นไหม

คำว่าส่งเสริมนะ คนที่โดนส่งเสริมกลัวแทบเป็นแทบตาย แต่คนที่มาส่งเสริมทำไมถึงว่าเป็นส่งเสริมล่ะ เพราะว่าถ้าไม่เอาสิ่งที่หวาดกลัว เห็นไหม ชัยภูมิที่ทำงานของสมณะคือในป่าช้า ในที่สงบสงัด มันไม่ใช่ชัยภูมิของธุรกิจการค้า ธุรกิจการค้า ชัยภูมิของเขา ทำเลของเขา เขาต้องหาทำเลที่ดีๆ เขาต้องหาตลาดของเขา เขาหาแต่ที่พลุกพล่าน นั่นเป็นชัยภูมิของธุรกิจการค้า

ชัยภูมิของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ มันต้องที่สงบสงัด ที่เสียวยอกใจ ที่ใจมันไม่ออกคิดนอก เวลาสายบุญสายกรรมมันจะมาส่งเสริมกัน เป็นเสือเทพ เป็นสัตว์ที่ทำให้เราตกใจกลัว เพราะกลัวแล้วเราไม่คิดออกข้างนอก การส่งเสริมกัน สิ่งที่เป็นคุณงามความดี ที่เขาส่งเสริมกัน แต่ถ้าจิตใจเราหยาบกว่า ส่งเสริมอะไรทำให้เรากลัวจนแทบช็อกตายโน่นน่ะ แต่ความกลัวอย่างนี้จะทำให้เราไม่คิดฟุ้งซ่านไปข้างนอก

ถ้าไม่มีสิ่งใดควบคุมเรา จิตใจกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เห็นไหม เราอยู่ในบ้านของเรา ในที่รโหฐานของเรา เราจะทำสิ่งใดก็ได้ เพราะมันเป็นสิทธิของเราในบ้านของเรา เราจะทำอะไรก็ได้เห็นไหม โจรมันจะปล้น มันจะวางแผนกัน มันก็คิดอยู่ในบ้าน ในที่ลึกลับซับซ้อนนั่นนะ ในหัวใจเรามันเป็นเหลือบ เป็นที่ลึกลับซับซ้อนมากกว่าในบ้านอีก

ในบ้านมันยังเป็นที่รโหฐานของเรานะ แต่ในความคิดของเรา ในบ้านของเรา ในครอบครัวของเรา มันก็ยังแบ่งซอยย่อยไปอีกว่าเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูก เป็นหลาน เป็นเหลน เป็นคนอาศัยอยู่ในบ้าน ความคิดในบ้าน ความคิดของแต่ละคนมันก็ไม่เหมือนกัน

ความคิดอันนั้น ในที่รโหฐานของแต่ละบุคคล สิ่งนี้เป็นที่ลึกลับซับซ้อน แต่เทวดาเขารู้ ในการประพฤติปฏิบัติของเราความดีของเราต้องตีแผ่เรื่องนี้ ตีแผ่เรื่องความคิดของเรา ตีแผ่เรื่องหัวใจของเรา ตีแผ่ออกมาด้วยสติปัญญา ถ้ามีสติปัญญามันจะจับตัวตนของเราได้ ถ้ามีสติปัญญา ใครเป็นคนคิด?

คิดออกมาเห็นไหม เวลาเราโกรธ เราโมโห เราทำลายเขา ทำลายเสร็จแล้วยังสะใจนะ “สมน้ำหน้า!” แต่ถ้าเป็นสติปัญญา แม้แต่คิดมโนกรรมมันเกิด ความชั่วเกิดแล้ว เพราะมันมาทำลายเราก่อน เพราะเราโมโหโกรธา เราโกรธเขา เราจะทำลายเขา เราต้องเครียด เราต้องวางแผนจัดการเพื่อจะไปจัดการกับเขา เราทำลายเรามาตลอดเลย แต่เราไม่รู้ตัวนะ เราคิดว่าเราชนะคะคานใครแล้วเราจะเป็นผู้ชนะ

เป็นผู้แพ้ตั้งแต่เริ่มคิดเลย แพ้อะไร แพ้ธรรมะไง ให้ตัณหาความทะยานอยากมันครอบงำหัวใจ มันทำลายเราก่อนแล้ว เพราะมันทำลายเราแล้วมันถึงทำลายคนอื่น

แต่ถ้าเป็นคุณงามความดีล่ะ ครูบาอาจารย์ของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ธรรมนี้ละเอียดอ่อนมาก มันจะสอนเขาได้อย่างไรเห็นไหม ความดีในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจะว่ากล่าวจะตักเตือนเขา เขาหาว่าเราเป็นคนบ้า พูดเรื่องอะไร สิ่งที่เสียสละๆ อะไรจะให้เจือจานคนอื่นทั้งหมดเลย แล้วเราจะใช้สอยอะไรล่ะ นี่เขาคิดของเขาอย่างนั้นนะ

แต่ในทางโลก ดูสิ ดูในสังคมนิยมเขาสอนกัน อยากจะมีปลากินใช่ไหม เรามีปลาแล้ว เราจะต้องเจือจานปลาให้เขาก่อน เรามีปลาตัวหนึ่ง แล้วเราจะซอยปลาของเราแล้วแบ่งให้ชาวบ้านเขาทั้งหมดเลย แล้วคราวหน้าเราจะมีปลากินไปตลอด

ถ้าเราเสียสละของเราเพื่ออะไร เพื่อคุณงามความดี เพื่อให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข ถ้าสังคมร่มเย็นเป็นสุข ทุกอย่างมันก็ร่มเย็นเป็นสุข ความเป็นอยู่ของเรามันก็ดีขึ้นไปหมดนะ แต่ถ้าเป็นกิเลสมันให้ใครไม่ได้เลย ความตระหนี่ถี่เหนียวมันให้ใครไม่ได้ทั้งนั้น มันต้องยึดเป็นของมันทั้งหมดเลย โลกนี้ยังไม่พอมันจะไปเอาในอวกาศนะ จะไปอาศัยอยู่ในโลกพระจันทร์กันนั่นแหละ คิดไปทั้งนั้น คิดแต่จะอาศัยข้างนอก แต่ไม่ได้คิดถึงหัวใจของตัวเลย

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาที่นี่นะ กลับมาที่นี่ เราเป็นพระ เป็นผู้ประเสริฐ พระที่ดี ความดีเห็นไหม โลกเขายังมีความดีของเขา ความกตัญญูกตเวทีเป็นความดีของโลกเขา การอยู่ในครอบครัว ผู้ที่รักษานะ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ของเรา เราดูแลรักษาของเรา เพราะอะไร? พระอรหันต์ของลูก

ในบ้านของเราพ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูกนะ แต่ไม่เป็นพระอรหันต์ของสาธารณะ เพราะอะไร พ่อแม่ของเรายังมีความโลภ ความโกรธ ความหลงอยู่ แต่พ่อแม่ได้คลอดเรามา พ่อแม่ได้เลี้ยงดูเรามา บุญกุศลอันนี้ถ้าพูดถึงทางลิขสิทธิ์ร่างกายของเราเป็นของพ่อแม่หมดเลย ดีเอ็นเอไปตรวจสิ กรรมพันธุ์เป็นของพ่อแม่หมดเลย แต่จิตใจไม่ใช่

จิตใจเห็นไหม ปฏิสนธิจิต จิตอยู่ในไข่ของมารดา ถ้าพ่อแม่ในบ้านของเรา กตัญญูกตเวที การแสดงออก การเลี้ยงดู การเอาอกเอาใจเห็นไหม ไม่ขืนใจ ไม่ทำให้ท่านเสียอกเสียใจ เลี้ยงหัวใจสำคัญกว่าเลี้ยงร่างกายนะ เลี้ยงร่ายกายใครก็ดูแลได้ รัฐบาลเขาแจกให้ ผู้เฒ่าผู้แก่เขามีเบี้ยเลี้ยงชีพนะ แต่หัวใจใครจะเลี้ยงได้ ถ้าไม่ใช่ลูกเราพ่อแม่ไม่มีความสดชื่นไม่มีความดีใจหรอก แต่ถ้าเป็นลูกของเรานะ ดูแลแค่เล็กน้อย เหลียวตามามองแม่ก็ชื่นใจแล้ว เห็นไหม นี่พระอรหันต์ของลูก เพราะเราเกิดมามีบุญคุณมาก

แต่ถ้าการดูแลรักษา เรื่องของโลก แต่ถ้าพระอรหันต์ของธรรม ใจอันนั้นไม่มีโลภ ไม่มีโกรธ ไม่มีหลง ไม่มีความหลงในตัวเอง ไม่มีอวิชชา พอไม่มีอวิชชามันจะรู้จบกระบวนการเลยนะ เราอยู่กับโลกโดยไม่ติดโลก เราอยู่กับโลกแล้วเกิดกับโลก จิตนี้ห้ามไม่ได้ จิตนี้ไม่เคยตาย

จิตเวียนตายเวียนเกิดในสถานะของมนุษย์ เทวดา อินทร์ พรหม เป็นสัตว์เดรัจฉาน นรกอเวจี ขณะได้ภพชาติใด จิตดวงเดียวไปได้ทุกภพทุกชาติ ไม่ใช่เกิดพร้อมกันนะ เกิดชาติเดียว เกิดปัจจุบันชาติชาติใดชาติหนึ่ง แต่ขณะที่ตายจากชาตินั้นไป ไปอดีตอนาคต มันจะเวียนไปในบุพเพนิวาสานุสติญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวิชชา ๓

จิตเวียนตายเวียนเกิดไปตามประสาของจิต ถ้าไม่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันก็เวียนตายเวียนเกิด เพียงแต่ว่ามีคุณธรรมในหัวใจ ถ้ามีคุณงามความดี มีศาสนาหรือไม่มีศาสนา แต่ถ้าเขาทำดีของเขา ผลดีก็ตอบแทนของเขา มันเป็นผลของวัฏฏะเห็นไหม

ความดีความไม่ดีในวัฏฏะ ความดีในวัฏฏะคือความคิดในธรรมชาติของจิตที่มันคิดได้ มันแสวงหาได้ ที่มันมีศักยภาพที่มันจะคิดได้ จิตดีจิตชั่วเป็นสถานะเห็นไหม ดูสิ ดูพระโพธิสัตว์สิ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็เป็นหัวหน้าสัตว์ เกิดเป็นอะไรต่างๆ สร้างแต่คุณงามความดีมาตลอด ถ้าพระพุทธเจ้าพยากรณ์แล้วนะ ต้องถึงพระพุทธเจ้าแน่นอน

คำว่าถึงพระพุทธเจ้าหมายถึงว่า จิตนี้มันสร้างบุญญาธิการถึงที่สุด มันไปแต่สิ่งที่ดีแล้ว เพราะพระพุทธเจ้าพยากรณ์แล้ว “ไปในสิ่งที่ดีๆ” ความดีสะสมไป คุณงามความดีสะสมไปตลอด ผลที่ตอบมันดีมาตลอด มันจะไปทางไหนล่ะ? ถึงผลจะตอบดีตลอด ถึงที่สุดแล้วจะต้องไปตรัสรู้เองเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้เองโดยชอบ ไม่ได้ตรัสรู้แบบพระอรหันต์ในสมัยปัจจุบัน

เป็นพระอรหันต์แต่ไม่ชอบ ไม่ชอบเพราะอะไร เพราะหันของกิเลสไง มันหันลงหาผลประโยชน์ หันออกมาหาตัวตนคนเดียว ไม่ได้หันไปถึงเรื่องของสาธารณะ เรื่องของสัจจะความจริง จิตที่เป็นสาธารณะ สมบัติที่เป็นสาธารณะ เป็นที่ใช้สอยของสาธารณะ แต่จิตของเรา พระอรหันต์เป็นพระอรหันต์ของเรา จิตที่เป็นพระอรหันต์แล้วมันอยู่ในสมบัติสาธารณะ อยู่ในร่างกาย ร่างกายนี้เป็นของสาธารณะ ร่างกายนี้เป็นของของวัฏฏะ

เวลาเราตายไปแล้วร่างกายทิ้งไว้ในโลกนี้นะ สัตว์มันมีคุณค่า เวลามันตายไป ร่างกายมันเป็นอาหารของสัตว์โลก แต่มนุษย์ตายแล้วจะมีใครกินมัน นอกจากพวกแมลง พวกหนอน มันมาเจาะมาไชไง มนุษย์ตายทิ้งไว้นะ นี่สมบัติสาธารณะคือร่างกายของมนุษย์ แต่จิตใจไม่ใช่เป็นสมบัติสาธารณะ จิตใจมันอยู่ในอำนาจของมาร อยู่ในอำนาจของกิเลส ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้ามาทำลายตรงนี้ ถ้าทำตรงนี้ได้ ผู้ที่มีสติปัญญา มีการรื้อค้น มีการรักษา เพราะเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา พุทธศาสนาสอน

เราเกิดมาในพุทธศาสนา เราเป็นฆราวาส เราเห็นโทษเห็นภัยในวัฏฏะ ในโลก การเกิดการตายที่เป็นไปโดยกรรม เป็นไปโดยสาธารณะ เราพยายามจะรื้อค้น เราพยายามจะหาธรรมะเพื่อต่อสู้กับมัน ถ้าต่อสู้กับมัน เราสละสิ่งที่เป็นสิทธิเสรีภาพในทางธรรมของโลกมนุษย์

สิทธิเสรีภาพ มีสิทธิ มีคู่ครอง มีครอบครัว ไม่ทำผิดกฎหมาย นี่คือสิทธิโดยชอบธรรม เราเสียสละมาเป็นภิกษุ มีธรรมวินัยเป็นที่ปกป้องรักษา ถือพรหมจรรย์ สิ่งต่างๆ ที่โลกเขามีกัน เราไม่มีกับเขา ที่โลกเขามีกันตามสิทธิ เราเสียสละเรื่องนี้มาแล้วเพื่อมาถือพรหมจรรย์ เพื่อย้อนกลับเข้ามาต้นกระแสเรื่องของหัวใจ

เราบวชเป็นพระแล้วเรายังเสียสละความสะดวกสบายในวัดในวา ออกหาที่สงัด ออกหาที่วิเวกเพื่ออะไร เพื่อจะค้นหาตัวเราเองให้ได้ ถ้าค้นหาตัวเราเองให้ได้เห็นไหม พระที่ดี พระที่ดีเกิดในการกระทำในข้อวัตรปฏิบัติที่ดี ถ้าพระที่ดี พระที่ดีมาจากไหน?

พระหล่อ เขาไปหล่อกันที่โรงหล่อ เขาต้องทำอุณหภูมิให้ได้ หล่อแล้วต้องไม่แตก ไม่ร้าว ไม่มีสิ่งต่างๆ นั่นเป็นพระที่ดีที่ว่าเขาหล่อแล้วเป็นสิ่งประโยชน์ที่เขาเอาไว้เป็นรูปเคารพ

แต่พระที่ดีของเราเกิดจากข้อวัตรปฏิบัตินะ พระที่ดีของเราเกิดจากการกระทำ เกิดจากการตั้งสติสัมปชัญญะในหัวใจของเรานะ พระที่ดี พระที่ข้างนอกเห็นไหม เราต้องคอยรักษานะ เดี๋ยวฝุ่นมันเกาะ เดี๋ยวมีความสกปรก เราต้องไปทำความสะอาดตลอดเวลา จิตของเราถ้ามันสะอาดแล้วจะเอาอะไรไปรักษามัน ถ้ามันสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมาแล้ว มันสกปรกเฉพาะร่างกายนี่แหละ สกปรกเพราะสิ่งที่เป็นเหงื่อเป็นไคลเป็นขี้ ขี้เหงื่อ ขี้ไคล

แต่ถ้าเป็นหัวใจ ความโกรธ ความหลง สิ่งนี้เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เราทำความสะอาดแล้วให้เป็นพระที่ดีขึ้นมา เราต้องทำที่นี่ พระที่ดีการแสดงออกมันจะดีออกมา

ตาเป็นหน้าต่างของใจ การเคลื่อนไหว การแสดงออก มันแสดงออกถึงกิริยามารยาท มันเป็นการแสดงออกของจิต จิตมันแสดงออกจากการเคลื่อนไหวของเรา ถ้าการเคลื่อนไหว เห็นไหม ผู้ที่สงบสงัด ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา การเคลื่อนไหว การอยู่ของเขา มันจะส่งผลถึงสติสัมปชัญญะตลอดเวลา

เราอย่าให้พลั้งเผลอสิ เราตั้งสติของเราเห็นไหม การเคลื่อนไหว การดำรงชีวิตของเรา ความเป็นอยู่ของเรา เราต้องมีสติขึ้นมา ถ้าเราเห็นคุณขึ้นมาเราจะบังคับตัวเราตลอดเวลา การบังคับ การต่อสู้กับกิเลส มันเป็นคุณสมบัติ มันเป็นมรรค แต่ถ้าเป็นทางโลกเห็นไหม มันเป็นความลำบาก เราจะไปอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ เราจะหาแต่ที่อยู่ที่สุขสบาย ที่ทำแล้วไม่มีใครคอยบังคับ เพราะเราบังคับตัวเราไม่ได้ เราถึงต้องหาครูบาอาจารย์ช่วยบังคับเรา ก็เราบังคับตัวเราไม่ได้ จิตใจเราอ่อนแอ

แต่ถ้าคนที่มีคุณธรรมในหัวใจนะ เขาจะมีความเข้มแข็งของเขา เขารู้ว่าการบังคับอย่างนี้มันจะเกิดประโยชน์อะไร ดูสิ หน้าที่การงานเห็นไหม เราทำธุรกิจ ทำการค้าต่างๆ ถ้าสินค้าเราได้ขายออกไป เราได้วางบิลขึ้นมา เราจะได้เงินกลับมาทั้งนั้น แต่ถ้าเราวางบิลแล้วเก็บเงินไม่ได้ล่ะ? เขาฉ้อโกงล่ะ? เราก็ไม่ได้สิ่งใดกลับมา

ในการประพฤติปฏิบัติ ถ้าจิตใจอ่อนแอการประพฤติปฏิบัติจะล้มเหลวตลอด สิ่งใดจะไม่ได้ติดมือเราเลย เราตั้งใจขนาดไหนปฏิบัติแล้วจะไม่มีอะไรติดไม้ติดมือมาเลย แต่ถ้ามีสติสัมปชัญญะ เหมือนเราทำธุรกิจเห็นไหม ถ้าคู่ค้าเรา ลูกค้าเรา เขาตอบสนองเราด้วยธรรมทั้งหมด

นี่ก็เหมือนกัน การตอบสนองด้วยธรรมทั้งหมดมันอยู่ที่การกระทำของเรา อยู่ที่อำนาจวาสนาของเรา ถ้าเราไม่ได้สร้างอำนาจวาสนามากขนาดนั้น เราทำสิ่งใดจะมีอุปสรรคขัดขวางเรามากน้อยขนาดไหน อุปสรรคขัดขวางมันเป็นการกระทำของจิตทั้งนั้นนะ

กรรมจัดสรร ธรรมะจัดสรร กรรมจัดสรรมันก็มีแต่เวรแต่กรรม ธรรมะจัดสรร ธรรมมันมีคุณค่าอยู่แล้วไง แต่เราเข้าไม่ถึงสัจธรรม เรามีแต่กรรม กรรมดีกรรมชั่วที่มันมาคอยบังคับบัญชาไป

กรรมดีกรรมชั่วมันฝืนเราตลอดเวลาเห็นไหม ดูการประพฤติปฏิบัติ การนั่งสมาธิภาวนาสิ มันมีอะไรสะดวกสบายบ้างล่ะ? มันมีแต่ความทุกข์ยากนะ มันมีแต่การทรมานตน มันมีทั้งทรมานทั้งไม่ทรมาน มันมาจากไหนล่ะ? คำว่าทรมานตนคือความลำบาก

แต่ถ้าเราบอกทรมานกิเลสล่ะ กิเลสมันอยากกินอิ่ม นอนอุ่น นอนสะดวกสบายของมันนะ นอนสะดวกสบายกิเลสมันก็ยิ่งพอใจ มันก็ยิ่งเคยชิน สิ่งต่างๆ มันยิ่งหมักหมม มันยิ่งนอนจมเห็นไหม แล้วพระที่ดีมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร มันก็จะมีแต่พระที่เป็นสนิม พระที่มีแต่ความรกชัฏของพระองค์นั้น

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อข้อวัตรปฏิบัติของเรา เราไม่ทำของเราล่ะ สิ่งต่างๆ เราทำของเรา คำว่า “ข้อวัตร” เราต้องศึกษานะ ข้อวัตรของใคร? ถ้าข้อวัตรของธรรมในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม คารวะ ๖ เริ่มประชุมพร้อมกัน เลิกประชุมพร้อมกัน ลงประชุมพร้อมกัน สิ่งต่างๆ เห็นไหม เก็บรักษา

ดูสิ บุพกิจ เดี๋ยวสวดปาติโมกข์ บุพกิจนะ “สาธุ.. สาธุ..” ได้ทำหรือเปล่า บุพกิจ กิจของสงฆ์ บุพกิจได้เตรียมที่ ได้ปูอาสนะ ได้เตรียมน้ำ ได้เตรียมต่างๆ นี่คือบุพกิจนะ เดี๋ยวสวดปาติโมกข์เขาจะถามเลย พระได้ทำหรือเปล่า สาธุตลอด.. สาธุตลอด.. สาธุคือการกระทำ เราได้ทำกิจนั้นหรือเปล่า

นี่คือข้อวัตรปฏิบัติไง กิจที่เราต้องทำ เราจะมานั่งกันอยู่นี้ อาสนะมันจะลอยมาจากฟ้าเหรอ? ทุกอย่างจะมีคนมาบริการให้เหรอ? มันเป็นกิจของสงฆ์ทั้งนั้น เวลาสวดบุพกิจ เราไปตั้งญัตติสวดปาติโมกข์

สวดปาติโมกข์นี่คือธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่บัญญัติไว้ แล้วเราเป็นพระเราจะต้องทำตามนั้น คำว่าทำตามนั้นมันเป็นรัฐธรรมนูญของสงฆ์ ปาติโมกข์เห็นไหม ในพระวินัย ๒๑,๐๐๐ ข้อ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ๒๑,๐๐๐ ข้อในศีลนะ แล้วยังมีมหาปเทส ๔

“สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ แต่มันเข้ากับบัญญัติ ให้ถือว่าบัญญัติ” สิ่งที่ไม่ได้บัญญัติถ้ามันเข้าได้กับสิ่งที่บัญญัติ โลกมันจะเจริญ โลกมันจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา

ถ้าโลกเปลี่ยนแปลงไปตลอด “สิ่งที่ไม่ได้บัญญัติ ถ้ามันเข้าได้กับไม่บัญญัติ ถือว่าไม่บัญญัติ” นี่มหาปเทส ๔ ยังตัดสินธรรมวินัยต่อไปข้างหน้าอีกนะ มหาปเทส ๔ ว่าโลกเขาทำกันอย่างไร? เราอยู่ในศาสนาเราจะทำตัวกันอย่างไร? ไม่ใช่ว่า เดี๋ยวนี้โลกเจริญๆ พระจะอ่อนแอไปหมด โลกเจริญมีแต่ไฟ โลกเจริญมีแต่เอาไฟมาแผดเผาภิกษุเรา

แต่ถ้าธรรมะเจริญล่ะ ถ้าธรรมะเจริญหัวใจเรามีที่พึ่งที่อาศัย ธรรมะเจริญ สิ่งที่เจริญขึ้นมาเรายอมรับไง เราลงใจองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าใจมันลงธรรม คนใจลงธรรม สิ่งใดมันไม่ทำ ไม่ฝืน ถ้าฝืนไปมันโต้แย้งกับธรรมของพระพุทธเจ้า แล้วเราจะแสวงหาสิ่งที่เป็นธรรมขึ้นมาในหัวใจของเราได้อย่างไร

ถ้าเราเชื่อมั่นแล้วเห็นไหม ดูสิ เราเป็นชาวพุทธ เราเกิดมาในพุทธศาสนา ทุกคนยังน้อยเนื้อต่ำใจนะ ถือว่าเป็นชาวพุทธ ทำอะไรก็เป็นกรรมไปหมดเลย แล้วชีวิตก็ไม่เจริญรุ่งเรืองกับเขา ดูสิ เขาไม่นับถือศาสนาใดเลย ทำไมเขาเจริญเอาๆ

มันเจริญจริงหรือเจริญปลอม ถ้าเจริญปลอม สิ่งที่เขามีอยู่มันได้มาโดยเป็นสมบัติของเขาหรือเปล่า? เดี๋ยวนี้โลกเขาได้มาด้วยวิธีการหลากหลายมาก แล้วได้มาเป็นของเขาหรือ? ของยืมก็ได้ ของใช้สอยของเขา มันเป็นของเขาหรือเปล่า? แต่เราไปดูที่เปลือก คำว่าเจริญมันมองด้วยสายตายภายนอก แต่ถ้าเป็นธรรมนะคำว่าเจริญคือหัวใจที่มันมีความสุข!

หัวใจที่โลกปัจจัยเครื่องอาศัย มันจะบกพร่องอย่างไรก็แล้วแต่ แต่หัวใจของเรา เรารู้ตัวของเราว่าเราไม่เป็นหนี้ใคร เราอยู่ด้วยความรื่นเริงอาจหาญของเรา เราอยู่ในสังคมด้วยไม่มีบาดแผล มือที่ไม่มีแผลจะไปจับสิ่งใดก็ไม่มีโทษกับมันทั้งนั้น มือของใครมีแผลไปจับสิ่งใดมันมีแต่ความเร่าร้อนในหัวใจทั้งนั้น

แล้วเราว่าโลกเจริญ เราเห็นว่าโลกเขาเจริญกัน โลกนี้เจริญไปหมดเลย ดูสิ ดูสังคมโลกในปัจจุบันนี้ รถที่วิ่งในตลาดนะ ใครเป็นเจ้าของ บริษัทไฟแนนซ์เป็นเจ้าของหมดเลย! แล้วว่าเจริญ เป็นขี้ข้าหมดเลย ขับรถป๋อๆ เลย แต่ไม่มีใครเป็นเจ้าของสักคัน แล้วว่าโลกเจริญ

เราไปมองกันที่เปลือกนะ เราไม่มองความเร่าร้อนในหัวใจ จิตคนที่ขับรถอยู่มันมีความทุกข์ความร้อนอยู่แค่ไหน ความทุกข์ความร้อนอันนี้ มันจะเป็นคุณงามความดีหรือเป็นโทษ ถ้าเป็นโทษ โลกเจริญ เจริญโดยเป็นเรื่องของโลก แต่ไม่เจริญโดยธรรม ถ้าเจริญโดยธรรมเห็นไหม เราทำหน้าที่การงานของเรา เราจำเป็นต้องใช้ไหม ถ้าเราไม่จำเป็นต้องใช้ เราก็ไม่ต้องไปหาไฟมาเผาตัวเราเอง เราจำเป็นต้องใช้ เราก็เอาแต่สิ่งที่เราจำเป็นต้องใช้กับเรามา

นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นพระเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มีอะไรจำเป็นไหม มีแต่ปัจจัยเครื่องอาศัยเท่านั้น สิ่งใดที่ยังไม่จำเป็น.. ถ้าจำเป็นเห็นไหม ของกลางมี ของสงฆ์ในคลังเรามี อยากได้อะไรล่ะ? ปัจจัย ๔ ปัจจัยเครื่องอาศัย บริขาร ๘ มีพร้อมไปหมด ถ้าเราฝึกฝน เราหัดตัด หัดเย็บ หัดรักษาของเรา

ถ้าเราหัดรักษาของเราเห็นไหม ดูสิ บริขารของเรามันจะเสียหายไปไหน เราพร้อมที่จะซ่อมแซมได้ตลอดเวลา ถ้าบริขารของเราเรารักษาได้ทั้งหมดเลย เราจะไปตื่นเต้นไปกับอะไร ของเสียหายชำรุดเดี๋ยวนี้เราจะแก้ไขเดี๋ยวนี้ เราจะไม่เป็นขี้ข้าใครเลย! เราจะอยู่แบบอิสรเสรี เราจะไปไหนก็ได้ จะอยู่ที่ไหนก็ได้ เราจะไม่ต้องพึ่งพาอาศัยใครเลย เห็นไหม เราบวชมาแล้วเราจะพึ่งพาอาศัยใคร เพราะเราอยู่ในโลก เราติดอยู่ในโลกใช่ไหม

ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่ ไม่มีดวงใจไหนเลยที่มีความสุข แล้วเราเสียสละออกมาแล้ว เป็นนกมีปีกกับหาง เราบวชมาแล้ว ในชีวิตของเราเป็นอิสรภาพมาก เราจะหาอะไรเป็นเครื่องอยู่เครื่องอาศัยของเรา เครื่องอยู่อาศัยเราไม่ต้องไปเดือดร้อน เราพอของเรา

ถ้าปัจจัย ๔ บริขารไม่เดือดร้อน ย้อนกลับมาแล้ว แล้วใจเดือดร้อนไหม ใจมีที่พึ่งอาศัยหรือยัง ถ้าใจไม่มีที่พึ่งอาศัย ใจจะเอาอะไรเป็นที่พึ่ง เห็นไหม พระที่ดีคือพระของเรา คือตัวเราเอง คือความดีของเราเอง ความดีของคนอื่นเป็นความดีของอื่น ใครจะติฉินนินทา ใครจะส่งเสริมขนาดไหน มันไม่มีประโยชน์อะไรกับเราเลย มันไม่ใช่มรรคญาณ มันไม่ใช่สัจธรรมที่จะทำให้เราพ้นจากกิเลสไปได้

การที่จะพ้นจากกิเลสไปได้มันเกิดจากมรรคญาณ คือความเห็นจากหัวใจของเราเท่านั้น ปัญญาที่เกิดจากจิตของเราที่สงบเป็นสมาธิเข้ามา พระดี! พระดี! ใครจะติ ใครจะชมว่าพระชั่วพระเลวขนาดไหน มันเป็นสายตาของโลก ไม่ต้องไปสนใจทั้งสิ้น

โลกปัจจุบันนี้ถ้าพระองค์ไหนมีศักยภาพ มีคนมาหามากมายนัก มีเครื่องยนต์กลไก มีเครื่องใช้ไม้สอยอุดมสมบูรณ์เป็นพระที่ดี เขาไม่รู้หรอกว่าสิ่งนั้นเป็นภาระหน้าที่ที่เขาต้องแบกหาม เป็นความทุกข์อย่างยิ่ง!

พระที่ดีเห็นไหม มีบริขาร ๘ เวลาหลวงปู่มั่นนิพพานไป ในวัดมีเงินไม่ถึง ๖๐๐ บาท ในวัดไม่มีตังค์แม้แต่สลึงเดียว นี่พระที่ดี! ไม่มีอะไรเป็นสมบัติส่วนตนเลย ไม่มีอะไรเป็นสมบัติที่ต้องรักษาเลย แต่เทวดา อินทร์ พรหม เคารพนับถือศรัทธา นี่แหละภิกษุของเราจะแสวงหาที่พึ่งที่อาศัย พระหรือฆราวาสจะเข้าไปหาหลวงปู่มั่น ต้องเดินเข้าไป จะต้องแสวงหาเข้าไปหาท่าน ทั้งๆ ที่ท่านไม่มีสมบัติอะไรเป็นสมบัติโลกที่จะอวดกันเลย

แต่ท่านมีสมบัติของพระ ท่านมีคุณธรรมในหัวใจของท่าน ท่านมีธรรมในหัวใจของท่าน ท่านมีธรรมที่จะเผื่อแผ่สัตว์โลกเห็นไหม ตั้งแต่เทวดา อินทร์ พรหม ลงมาเลย ใครก็ได้ ที่มีความทุกข์ ที่ต้องการหาสัจธรรม เป็นผู้ชี้นำถูกผิดของโลกเขา ชี้นำถูกผิดของหัวใจ

ถ้าสิ่งที่ชี้นำถูกผิด ถ้าหัวใจไม่รู้จริงจะเอาอะไรมาชี้นำเขา สิ่งที่จะชี้นำเขา มันต้องอยู่ในหัวใจของเราซะก่อน เพราะสิ่งที่เป็นคุณธรรมในหัวใจของเรา มันต้องเกิดจากการกระทำ เราไม่เคยมีการกระทำกันมา เราขับรถไม่เป็น ขึ้นไปบนรถ เราก็ขับรถไปไม่ได้ เราว่ายน้ำไม่เป็น ตกน้ำเราก็ว่ายน้ำไม่ได้

สิ่งที่เราฝึกหัดจนจากที่ว่ายน้ำเป็น จากดวงจิตนี้ที่มันอยากแหวกว่าย อยากพ้นจากโอฆะ พ้นจากวัฏฏะ พ้นจากสิ่งต่างๆ ขึ้นไปจนมีอิสรภาพ นี่พระที่ดี! พระที่ดีมันบอกนะ เทวดา อินทร์ พรหม มาจะฟังธรรมข้อไหนล่ะ? จะฟังธรรมอะไร? จะฟังอริยสัจของใคร? เอาอริยสัจของฆราวาส เอาอริยสัจของภิกษุ เอาอริยสัจของพระอริยบุคคลชั้นไหน? โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ อริยสัจอย่างนี้อริสัจของใคร? อริยสัจแต่ละชั้นมันไม่เหมือนกัน

โสดาบันพูดได้แค่ขั้นโสดาบัน แต่ไม่เข้าใจเรื่องของขั้นสกิทาคามี ขั้นอนาคามีก็ไม่เข้าใจ ขั้นอรหันต์ก็ไม่เข้าใจ ถ้าเป็นขั้นพระอรหันต์จะเข้าใจขบวนการของมันทั้งหมด

หลวงปู่มั่นท่านมีคุณธรรม ท่านเป็นพระที่ดีของท่าน ท่านมีหัวใจของท่านเป็นสิ่งที่ดี คุณธรรมอันนี้เกิดมาจากไหนล่ะ? ดูสิ ขับรถได้ ว่ายน้ำเป็น ทำทุกๆ สิ่งได้ ทำก็ทำได้แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นมามันจะลำบากลำบนไปที่ไหน

แต่ของเรานะ เราว่ายน้ำไม่เป็น เราจะลงน้ำก็มีแต่เครื่องชูชีพเต็มตัวไปเลย แล้วเราก็แหวกว่ายกันไป แล้วเราก็บอกว่าเราว่ายน้ำได้ ว่ายน้ำอย่างนี้มันลอยมาจากเครื่องชูชีพนะ มันไม่ใช่ว่ายน้ำมาจาการทรงตัวของเรา

การทรงตัวของเราเห็นไหม การทำสมาธิ ถ้าทำจิตตั้งมั่นได้ การทรงตัวของจิตมันเกิดขึ้นมาได้ การแหวกว่ายไปเข้าสู่ฝั่งโดยที่ไม่ต้องมีการแหวกว่าย ยืนบนฝั่งนั้น นี่ไงวิธีการเห็นไหม นี่พระที่ดี ข้อวัตรปฏิบัติมันข้อวัตรปฏิบัติจากภายนอกนะ แต่ข้อวัตรปฏิบัติมันจะฟ้องมาถึงกิริยามารยาท มันจะฟ้องมาถึงการกระทำของเรา

ถ้าการกระทำของเราดีขึ้นมา เรามีข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา มันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาจากหัวใจเห็นไหม ของจากภายนอกมันจะเป็นของจากภายใน ของจากภายในนะ นี่พระดี พระพุทธรูปมันเป็นสิ่งที่ต้องแสวงหา ต้องบำรุงรักษา

พระที่ดีของเรานะ มันจะทุกข์ยาก พระพุทธรูปก็ต้องหาวัตถุ ดูสิ เขาต้องหาสิ่งมาหล่อหลอมขึ้นมา จะเทขึ้นมาเป็นพระพุทธรูปองค์นั้น เราจะปฏิบัติขึ้นมา จิตของเรามันอยู่ไหนล่ะ? ความสงบของจิต ตัวจิตมันอยู่ไหน? ตัวเริ่มต้นของความคิด ความคิดที่มันเป็นสิ่งแสวงหาสิ่งที่เป็นความทุกข์มาใส่ตัวเรา มันเกิดขึ้นโดยธรรมชาติของมัน มันเกิดขึ้นโดยสัจธรรมของมัน โดยธรรมชาติ โดยสัญชาตญาณของมัน มันมีอยู่อย่างนั้นเอง

แต่มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากบังคับขับไสมันไป แต่ถ้าเวลาสิ่งที่เป็นสัญชาตญาณ ธรรมชาติที่มันมีอยู่ แต่เรามีสติสัมปชัญญะเปลี่ยนแปลงมันให้คิดถึงพุทโธ ให้มีสติสัมปชัญญะตามความคิดไป ให้มันหยุดยั้งของมัน มันเกิดดับโดยธรรมชาติของมัน สิ่งที่มันมีสัญชาตญาณมันมีของมัน แต่มันก็มีเกิดดับของมัน

ตัวจิตนี้เป็นตัวหนึ่ง เรามีสติสัมปชัญญะตามความคิดนี้ไป นี่พระดี พระดีคือพระรู้จักวิธีการ รู้จักหล่อหลอมให้จิตนี้ให้มันตั้งมั่นขึ้นมา หล่อหลอมขึ้นมาให้จิตนี้มันมีการกระทำของมันขึ้นมา เหมือนกับเขาหล่อพระขึ้นมาแต่ละองค์เห็นไหม

การหล่อพระจากข้างนอกมันของง่ายๆ เราหาเงินหาทองมา เราไปจ้างเขา เขาหล่อได้อยู่แล้ว แต่การสร้างพระมันจ้างใครไม่ได้ หาใครสร้างมันขึ้นมาไม่ได้ แล้วมันก็เป็นพระส่วนบุคคลของเราเองเสียด้วย

การหล่อเห็นไหม ดูสิ เขาหล่อพระกัน เขาต้องมีแม่แบบ เขาต้องมีช่างปั้น เขาต้องมีสิ่งต่างๆ พร้อมขึ้นมา ของเราใครเป็นคนทำล่ะ? สติใครเป็นคนทำ? จิตตั้งมั่นใครเป็นคนทำ? สติสัมปชัญญะใครเป็นคนทำ?

ถ้าเราทำไม่ได้ เราไม่รู้ไม่เห็น การกระทำมันจะเป็นจริงขึ้นมาได้อย่างไร ความเป็นจริงขึ้นมาเห็นไหม นี่พระที่ดี พระที่ดีจะมีสติ มีปัญญา มีข้อวัตร มีปฏิบัติ มีความรู้ มีความเห็น การกระทำของมันเป็นขั้นเป็นตอนขึ้นมา แล้วทำผิดทำถูกด้วยนะ เวลาหล่อพระขึ้นมาแล้วเสียหาย แกะออกมาพระเสียหายหมดเลย เป็นพระไม่ได้ต้องเอาไปหลอมใหม่ หล่อใหม่ ต้องปั้นแบบใหม่

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เราทำขึ้นมาเป็นสมาธิจริงหรือเปล่า ในปัญญาขึ้นมาเวลาวิปัสสนาไป ออกมามันจะเป็นความจริงหรือเปล่า เป็นความจริงหมายถึงว่า จิตมันรับรู้ จิตมันเป็นไปเห็นไหม สันทิฏฐิโกมันรับรู้เองนะ เป็นปัจจัตตังกับจิตดวงนั้น เป็นที่รู้เองเห็นเอง ดูสิ ตำรับตำราเขียนไว้อีกอย่างหนึ่งนะ เวลาประพฤติปฏิบัติไปมันเข้มแข็ง มันชัดเจนกว่าตำรามหาศาลเลย

เวลาประพฤติปฏิบัติ ตำรานี่อ่านไปเถอะ ศึกษาไปเถอะ งงไปตลอดชีวิต ไม่มีทางทำความเข้าใจได้ ไม่มีทาง! เพราะตำราเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สะอาดบริสุทธิ์ไหม มันสะอาดบริสุทธิ์ในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสะอาดบริสุทธิ์มาก แล้ววางธรรมและวินัยไว้ จดจำมาจากพระอานนท์กับพระอุบาลี แล้วมาทำสังคายนา แล้วจดจำกันต่อมา แล้วจดจารึกมา

สิ่งนี้มันเป็นวิธีการที่ชี้เข้าไปหาจิต แล้วเราไปศึกษาขึ้นมาแล้วความจริงของเรามีไหม? ถ้าความจริงของเราไม่มี มันมีความลังเลสงสัยไหม? ความลังเลสงสัยอันนั้นมันจะมากวนใจเราเห็นไหม มันก็เกิดความหลงไป ความวิตกกังวล เกิดความต่างๆ ทั้งๆ ที่ตรึกในธรรมนะ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสะอาดบริสุทธิ์ แต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรามันไม่บริสุทธิ์ล่ะ กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันสร้างภาพ สิ่งที่สร้างภาพ สิ่งที่คิดกังวลกันไปเห็นไหม ถึงจะต้องทำความสงบของใจให้ได้

ถ้าไม่มีข้อวัตรปฏิบัติ คำว่า “ข้อวัตร” มันทำให้เราไม่เครียด ตั้งแต่เช้าขึ้นมา เราประพฤติปฏิบัติเห็นไหม เวลาฉันน้ำร้อนแล้วเราทำข้อวัตร เราทำต่างๆ แล้วข้อวัตรเราทำไปเขาเรียกข้อวัตรเข้มแข็ง ข้อวัตรอ่อนแอ ถ้าข้อวัตรอ่อนแอไม่รู้สิ่งใดเลย เวลาเจอเหตุการณ์เฉพาะหน้า ตัดสินใจอะไรไม่ถูกเลย

แต่ถ้าเราได้ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เหตุสมควรไง คำว่า “สมควร” มันไม่ตายตัวหรอก คำว่า “ไม่ตายตัว” มันมีตัวแปรมหาศาลเลย คำว่าตัวแปร ดูสิ อาวุโส ภันเต พรรษาต่างๆ เห็นไหม ความลงใจ ความเป็นไปของใจ ใจมันมีสมควรหรือไม่สมควร แล้วอาคันตุกะมาเห็นไหม เขาพอใจ เขาไม่พอใจ เขาไม่ต้องการ เขาต้องการ มันมีอีกมหาศาลเลย

เราต้องสังเกตว่าควรหรือไม่ควร สิ่งใดควรแล้วไม่ควรกระทำไป ถ้าฝืนทำไปนี่เป็นอาบัติ เพราะไม่รู้ เป็นอาบัติเพราะทำผิดตามความเป็นจริงเห็นไหม สงสัยลังเลทำไปมันก็เป็นอาบัติแล้ว

ศึกษาธรรมะมันเป็นอาบัติเพราะอะไร เพราะเราเองเรายังไม่แน่ใจ เรายังสงสัยเลย แล้วทำลงไป ถ้าสิ่งใดทำลงไปเพราะใจมันไม่เข้มแข็ง ใจมันไม่เป็นความจริง เราถึงต้องฝึกฝนไง ฝึกฝนจากข้างนอกและข้างในนะ ข้างในมันรื่นเริงอาจหาญนะ

ถ้าคนที่มีศีล สังคมไหนมันก็รื่นเริงอาจหาญ มันเข้าได้หมด ศีลของเราสะอาดบริสุทธิ์ ที่ไหนเราก็เข้าได้ เราจะไม่วิตกกังวลสิ่งใดเลย แล้วถ้าเกิดมีธรรมะขึ้นมาด้วยนะ มีศีล มีธรรม มีศีลมันรื่นเริงอาจหาญ

มีธรรม! มีธรรมมันเข้าใจสภาวธรรมหมดเลย สิ่งใดควรหรือไม่ควร สิ่งใดถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ถ้าคนมีธรรมมันมองทะลุหมด พอมองทะลุหมดแล้วมันมีอะไรคาในหัวใจล่ะ มันไม่มีอะไรคาในหัวใจเลย ใจมันสะอาดบริสุทธิ์ แล้วมันเข้าใจหมด

สิ่งที่ไม่เข้าใจ อย่างเราเห็นไหม เรามีแต่ความมืดบอดในใจ จะแสดงออกไปด้วยความลังเลสงสัย แสดงออกไปด้วยไม่รู้ถูกรู้ผิดเห็นไหม แล้วถ้าคนชี้ถูกชี้ผิดเข้ามา เราจะประหม่าไหม เราประหม่านะ ถ้าเราไม่รู้จริงสิ่งใด แล้วเขาชี้มา เราเองยังไม่รู้เลย “ผิด” เขาบอกผิด เราเองยังไม่รู้ว่าถูกหรือผิดเลย เราต้องใช้กาลเวลาพิสูจน์

บางทีนะ ๕ วัน ๗ วัน ๑๐ วัน ปีหนึ่ง เราพึ่งตามทัน พึ่งนึกได้ “อ้อ ผิดจริงๆ” กว่าจะจริงๆ ใช้เวลาเป็นปี แต่ครูบาอาจารย์ท่านชี้ถูกชี้ผิดของท่านได้ตลอดเวลาเลยเห็นไหม นี่พระจริง พระจริงมันจริงออกมาจากใจนะ พระที่ดี พระที่ประเสริฐ

วันนี้วันพระ วันอุโบสถนะ เราจะมาแสดงปาติโมกข์กัน เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ของสังฆะ สังฆกรรมของเราต้องสะอาดบริสุทธิ์ เพราะความเสมอกันของสงฆ์ สงฆ์เวลาบวชมาจากอุปัชฌาย์เห็นไหม เป็นสงฆ์โดยสมมุติทุกๆ องค์ แล้วพอเป็นสงฆ์โดยสมมุติ อาวุโส ภันเต เราถือเคารพกันด้วยธรรมวินัย แต่ถ้าใครมีคุณธรรม อาวุโส ภันเตนะ ๕ พรรษา ๑๐ พรรษา มีคุณธรรมแล้วเยอะแยะไป ๑๐ พรรษา ๒๐ พรรษา ก็มีคุณธรรมขึ้นมา เรายังเคารพกันอีกชั้นหนึ่งด้วยคุณธรรมอันนั้นด้วย เราเคารพกันด้วยธรรมนะ ด้วยศีลด้วยธรรม นี่คือพระที่ดี

แล้วพระที่ดีย้อนกลับมาที่ใจเรา ถ้าใจเรานะ มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เวลามันดิ้นรนขึ้นมา เราต้องพยายามยับยั้งมันนะ ถ้ามันร้อนจากข้างใน ถ้าเราไม่ยับยั้งมัน ความร้อนมันจะสาดกระจายไปถึงคนอื่นด้วย ถ้ามันร้อนขึ้นมาเห็นไหม เราต้องยับยั้งมันด้วยสติปัญญา น้ำอมตธรรม ยับยั้งมันด้วยอมตะเห็นไหม แล้วเรามีครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่ง คำว่ามีครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่ง มันเกรงอกเกรงใจไง มันไม่แสดงตัวของมันเต็มที่

แต่ถ้าเราอยู่อิสระของเราคนเดียว เวลามันร้อนขึ้นมา มันแสดงออกเต็มๆ เลยนะ แล้วเวลาแสดงออกเต็มๆ ไปแล้ว มันก็เป็นอาบัติเต็มๆ เห็นไหม พอเป็นอาบัติแล้วมันจะย้อนกลับมามันก็มีความกระดากกระเดื่องต่างๆ เราถึงจะต้องมีครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่งให้ใจมันลงไว้ แล้วถ้ามันมีความแผดเผาในใจ มันมีความเร่าร้อนในใจ เราต้องตั้งสติ มันเป็นอย่างนี้

ดูโลกสิ ตอนนี้โลกมันร้อน สภาวะโลกร้อนทุกคนตกใจกลัวนะ แล้วพยายามจะช่วยกันดูแล แต่สิ่งที่ทำมามันให้ผลมา มันเมื่อ ๓๐๐-๔๐๐ ปีที่แล้วนะ แล้วในปัจจุบันนี้ สิ่งที่ขึ้นไป คาร์บอนไดออกไซด์อยู่บนฟ้า มันต้องใช้เวลาถึงร้อยๆ ปี แล้วปัจจุบันมันให้ผลแล้ว เราพึ่งมารู้ตัวกัน พึ่งจะมาดูแลรักษากัน แต่ก็ยังดีที่ได้ดูแลรักษา ได้เข้าใจมัน นี่พอเขาเข้าใจก็เห็นโทษของมัน

แล้วในธรรมของเรานะ ว่ากิเลสตัณหาความทะยานอยากในจิตนี้ มันมีโทษมีภัยมาตั้งแต่เกิดแต่ไหนแต่ไร แต่คนก็ยังไม่เห็นมัน แล้วถ้าคนเห็นมันเห็นไหม กระแสสังคม ถ้าบอกว่าสิ่งนั้นผิด สิ่งนี้ไม่ดี เขาก็ไม่เชื่อ เขาก็ว่าสิ่งที่ไม่ดีใครจะไปได้ผลประโยชน์ล่ะ เขาไปดูกันที่ผลประโยชน์ เขาไม่ดูกันที่จิตใจที่เป็นสาธารณะ ที่การเสียสละ ที่เห็นอกเห็นใจกัน

ถ้าเห็นอกเห็นใจกันเห็นไหม สังคมมีความร่มเย็นเป็นสุข โลกมันจะร้อนขนาดไหน เราก็ช่วยเหลือเจือจานกันเพื่อโลก ในสังคมของพระ ในสังคมของสงฆ์เรา ความร้อนในหัวใจอย่าให้มันกระทบกระเทือนหัวใจเรามากเกินไปนัก ถ้ามันมากเกินไป มันก็สาดกระจายไปถึงหมู่คณะ สาดกระจายไปถึงคนอื่นๆ พยายามรักษาใจของเรา

มันร้อนให้อยู่ข้างใน แล้วดับมันให้ได้ ถ้าดับมันให้ได้มันก็เย็นได้ ครูบาอาจารย์ของเราท่านทำสมาธิมา ท่านใช้ปัญญาของท่านมา ท่านรื้อค้นของท่านมา ท่านรู้ท่านเห็นนะ เพียงแต่เรานะมันเด็กอ่อนเกินไป บอกว่าผิดมันก็รับได้ยาก เพราะอะไร เพราะมันเข้าใจว่าถูก เด็กๆ เห็นไหม พอเสียงดังมันก็ร้องไห้แล้ว

นี่ก็เหมือนกัน แต่ถ้าเราปฏิบัติขึ้นมาเป็นเจ้าพนักงานที่ทำงานด้วยความรับผิดชอบ ถ้าผิดหรือถูกบอกกันชี้กันเห็นไหม ปฏิบัติขึ้นมาจนเข้มแข็งแก่กล้า มันจะมีฐานของมัน เวลาพูดอะไรมันรับได้ มันเข้าใจได้ พอเข้าใจได้ มันเปลี่ยนแปลงได้ แก้ไขได้ มันเจริญเติบโตไปได้

ตั้งแต่มันเร่าร้อน เราก็ดูแลรักษา เวลามันออกก้าวเดิน ออกเป็นธรรมขึ้นมา มันก็ต้องหวังพึ่งครูบาอาจารย์ที่คอยประคองดูแลรักษาไป จนถึงที่สุดพระสารีบุตรไม่เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามว่า “สารีบุตร เธอไม่เชื่อเราเหรอ”

“ไม่เชื่อ เมื่อก่อนนะเชื่อมาก แต่ในปัจจุบันนี้ไม่เชื่อเลย”

“ไม่เชื่อเพราะอะไร”

“เพราะมันเป็นความจริงขึ้นมาจากในหัวใจของข้าพเจ้าเอง แต่มันตรงกับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”

แต่ก่อนนะเป็นเด็กอ่อน หวังพึ่ง หวังมีพี่เลี้ยง มีผู้ดูแล แต่พอมันโตขึ้นมาเห็นไหม ดูเด็กอ่อน ดูวัยรุ่นสิ พอโตขึ้นมาไม่ต้องการอยู่กับคนที่ปกครองมัน อยากเป็นอิสรภาพ แต่พอมีอิสรภาพออกไปแล้วก็ไปเจอกับสังคมโลกบีบคั้น เพราะเรื่องของโลกไม่มีวันจบ โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ

เรื่องของธรรม เห็นไหม ครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่ง ถ้าจิตใจเราเป็นธรรมขึ้นมา มันมีที่พึ่งของมัน มันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน มันจะเป็นประโยชน์ของมันนะ นี่พระที่ดี พระที่ประเสริฐ เราทำใจของเราให้ดีนะ วันนี้วันพระ วันอุโบสถ เรามาฟังธรรม เรามาลงอุโบสถเพื่อหมู่คณะ เรามาเพื่อความรื่นเริง เพื่อความอาจหาญ เพื่อสุขภาพของจิต รื่นเริงอาจหาญกลับไปมันจะได้มีความตั้งใจ มีความจงใจ

การทำคุณงามความดีมันจะได้ฟื้นตัวเห็นไหม เป็นพระที่ดีขึ้นมาเพื่อประโยชน์ของสังคม เพื่อประโยชน์กับเราก่อน แล้วจะเป็นประโยชน์กับสังคมโลก มันจะเป็นประโยชน์ออกไปทั้งหมดกับวัฏฏะนี้ ถ้ามันเป็นจริงนะ

ตั้งแต่เราเห็นภัยในวัฏฏะ เห็นภัยในฆราวาส เราบวชเป็นพระ แล้วเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา จนกว่ามันจะเป็นคุณงามความดีขึ้นมาจากจิตนะ ประสบการณ์ชีวิตนะ สำคัญมาก ครูบาอาจารย์ของเราบวชมา ดูสิ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ท่านบวชมาตั้งแต่เป็นเณร ชีวิตทั้งชีวิตเลยนะปฏิบัติมา รู้เห็นมามาก รู้เห็นจากภายนอก รู้เห็นจากภายใน ภายในรู้เห็นจริง ทำจริง แก้ไขได้จริง แล้วจะเป็นพระที่ดีจริงๆ เอวัง